วิธีการคัดเลือกหุ้นกู้ เลือกแบบไหนได้อัตราผลตอบแทนสูงสุด

วิธีการคัดเลือกหุ้นกู้

เนื่องจากเวลานี้การลงทุนใน หุ้นกู้ ที่ออกเอกชนที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น สาเหตุมาจาก หุ้นกู้ทางฝั่งเอกชนนั้น มักจะให้อัตราผลตอบแทนที่ได้รับสูงกว่าการที่ท่านได้รับจากการเอาเงินฝากธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยเงินฝาก ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำ วิธีการคัดเลือกหุ้นกู้ เลือกแบบไหนได้อัตราผลตอบแทนสูงสุด เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปชมกันเลย…

วิธีการคัดเลือกหุ้นกู้ เลือกแบบไหนได้อัตราผลตอบแทนสูงสุด

วิธีการคัดเลือกหุ้นกู้

ก่อนที่เราไปไปดูแนวทางการเลือก หุ้นกู้ เราไปทำความเข้าใจกันก่อนว่าหุ้นกู้คืออะไร หุ้นกู้ หรือเรียกง่ายๆคือ ตราสารหนี้ ที่ออกโดยภาคเอกชนมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการต่างๆ ของบริษัทไม่ว่าจะเป็นเพื่อการลงทุนขยายกิจการ ซื้ออุปกรณ์ หรือเพื่อก่อสรา้งโรงงาน เป็นต้น หุ้นกู้สามารถแบ่งออกเป็นหน่วยๆ แต่ละหน่วยมีมูลค่าเท่าๆ กัน ในประเทศไทยการออกหุ้นกู้โดยทั่วไปมักจะกำหนดมูลค่าหน่วยละ 1000 บาท ดังนั้นเมื่อท่านซื้อหุ้นกู้ก็หมายความว่า ท่านให้เงินกู้กับบริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้นๆ หรืออาจจะแปลได้อีกความหมายก็คือ ท่านจะอยู่ในสถานะของ “เจ้าหนี้” และบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้น จะอยู่ในสถานะ “ลูกหนี้” ของท่าน โดยที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้นให้คำสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันตลอดช่วงอายุของหุ้นกู้ และจะชำระเงินต้นคืน ณ วันครบกำหนดอายุของหุ้นกู้

ทำไมในเวลานี้ หุ้นกู้ ถึงมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น

เนื่องจากในขณะนี้บริษัทเอกชนหลายแห่งมีความสนใจอยากกระจายเพิ่มแหล่งระดมทุนใหม่ๆ ไปยังนักลงทุนกลุ่มที่ไม่ใช่สถาบัน เราจึงได้เห็นการเสนอขายหุ้นกู้ให้กับนักลงทุนรายบุคคลเพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดีเนื่องจากการ “ลงทุนในหุ้นกู้” มีความแตกต่างจากการ ฝากเงินในธนาคาร ดังนั้นก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นกู้ นักลงทุนควรทำความเข้าใจและพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องให้รอบด้าน เพื่อคัดเลือกหุ้นกู้ที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดในการเลือกลงทุน ทั้งนี้ “นักลงทุน” สามารถใช้แนวทางอย่าง “ผู้จัดการกองทุน” ประกอบการตัดสินใจลงทุนหุ้นกู้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

แนวทางวิธีการคัดเลือกหุ้นกู้

วิธีการคัดเลือกหุ้นกู้

สำหรับนักลงทุนส่วนมากมักเริ่มต้นจากการดูอัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับจากหุ้นกู้เป็นหลัก ซึ่งตามหลักการปกติหุ้นกู้ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงมักมาพร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งในด้านของอายุตราสารและความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ โดยการจะพิจารณาว่าดอกเบี้ยที่ได้รับมีความคุ้มค่าเหมาะสมหรือไม่ จริงๆ ก็สามารถดูได้จากการเทียบเคียงกับหุ้นกู้อื่นที่มีลักษณะคล้ายกันทั้งในด้านของอายุคงเหลือและอันดับความน่าเชื่อถือ หรือสามารถเทียบเคียงดูจากเส้นอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้เอกชน (Corporate Bond Yield Curve) จากสมาคมตราสารหนี้ไทยได้ ขณะที่ความเสี่ยงหลักที่สำคัญจากการลงทุนในหุ้นกู้ แน่นอนว่า คือ “ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้” ที่ทำให้ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินต้นและดอกเบี้ยคืนครบตามจำนวน ภายในเวลาที่กำหนด

ทั้งนี้ ในเบื้องต้น 4 ตัวช่วยที่ดีในการคัดเลือกหุ้นกู้ คือ

  1. การดูอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้หรือของผู้ออกหุ้นกู้รายนั้นๆซึ่งบริษัทที่เป็นผู้จัดอันดับความน่าเชื่อถือจะมีทีมนักวิเคราะห์และกระบวนการประเมินความเสี่ยงที่รอบด้าน โดยอันดับเครดิตที่อยู่ในระดับสูงจะสะท้อนถึงความมั่นคงและความสามารถในการชำระหนี้ที่ดี ส่วนอันดับเครดิตที่ต่ำลดหลั่นลงมาก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ นอกจากการดูอันดับความน่าเชื่อถือแล้วนักลงทุนที่มีความสนใจอาจประเมินความเสี่ยงด้วยตนเองเพิ่มเติมได้ จากการ
  2. ศึกษาข้อมูลของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ อาทิเช่น แนวโน้มการประกอบธุรกิจ แนวโน้มอุตสาหกรรม หรือประเด็นความเรื่องความน่าเชื่อถือของผู้บริหารและกลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ออกหุ้นกู้ เป็นต้น นอกจากความเสี่ยงด้านเครดิตแล้ว นักลงทุนควร
  3. พิจารณาเรื่องระยะเวลาลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินของตัวเอง ทั้งนี้แม้ว่าโดยปกติหุ้นกู้ที่มีอายุคงเหลือนาน มักดูจูงใจจากการให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าหุ้นกู้ที่มีอายุคงเหลือไม่มาก แต่เนื่องจากหุ้นกู้เอกชนไม่ค่อยมีสภาพคล่องในตลาดรอง จึงทำให้นักลงทุนส่วนมากต้องถือครองการลงทุนไปจนครบอายุไถ่ถอน จึงจะได้รับเงินต้นคืน ดังนั้น การเลือกลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินของตนเองจึงมีความสำคัญ
  4. หลักการสำคัญในการเลือกหุ้นกู้ข้อสุดท้าย คือ อย่าลืมแบ่งกระจายการลงทุน โดยอย่าทุ่มเงินทั้งหมดลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง หรือลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมใดมากเกินไป เพราะแม้เราจะทำการบ้านและวิเคราะห์ความเสี่ยงต่างๆ มาอย่างรอบคอบ แต่ภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินของโลกมีความผันผวนสูง อาจเกิดกรณีที่เราคาดการณ์ไม่ถึงได้เสมอ ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงที่เพียงพอจะเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการปกป้องเงินลงทุนของเราได้ในระยะยาว

ความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้(default risk)

ความเสี่ยงเรื่องราคาตราสารจากความผันผวนของอัตราผลตอบแทนในตลาด(market / interest rate risk) สภาพคล่องของกองทุน (liquidity risk) การบริหารจัดการจึงให้ความสำคัญมากกับการคัดเลือกตราสารเข้ามาอยู่ใน investment universe มีการวิเคราะห์และประเมินความสามารถของผู้ออกตราสารหนี้ทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ และกำหนดอายุตราสารหนี้โดยเฉลี่ยของกองทุนให้เหมาะสมกับประเภทของกองทุน เพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังผลตอบแทนและการรับความผันผวนเรื่องการเปลี่ยนแปลงราคาได้ของผู้ถือหน่วย นอกจากนี้ยังสำรองสภาพคล่องของกองทุนให้สอดคล้องกับประเภทของกองทุนและสัดส่วนประเภทของผู้ถือหน่วยลงทุน(ใหญ่,กลาง,เล็ก)ในแต่ละขณะ

ก่อนจากกันทางเว็บไซต์ moneydever.com ยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมายอย่างลืมเข้ามาอ่านกันนะ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า…

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *