หนี้ครัวเรือนไทยปี 66 หนี้ค้างสูงเป็นประวัติการณ์

หนี้ครัวเรือนไทยปี 66

เนื่องจากเวลานี้ทาง หนี้ครัวเรือนไทยปี 66 หนี้ค้างสูงเป็นประวัติการณ์ รับไตรมาสแรกหลังจากที่ทาง บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือ เครดิตบูโร ได้ออกมาทำการชี้แจ้งว่าเวลานี้เกิดสถานการณ์หนี้เสียหรือเอ็นพีแอล ของลูกหนี้รายย่อย ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ระดับ 9.5แสนล้านบาท โดยลดลงจากปีก่อนที่ 9.8แสนล้นบาท และลดลงจากระดับสูงสุดที่เคยไปทะลุ 1ล้านล้านบาท ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะลดลงมาอยู่ที่ 7.2%  จากสิ้นปีที่ 7.4 % แต่ก็ทำให้เวลานี้ทางหนี้ครัวเรือนไทย ปี 66 ยังงคงเป็นหนี้ค้างสูงเป็นประวัติการณ์ในเวลานี้….

หนี้ครัวเรือนไทยปี 66 หนี้ค้างสูงเป็นประวัติการณ์

หนี้ครัวเรือนไทยปี 66

หากพูดให้เข้าใจว่าสำหรับ หนี้ค้างชำระ หรือที่เรียกว่า SM (Special mention) ที่ยังค้างชำระไม่เกิน 90 วัน ที่พบว่า เป็นพอร์ตที่น่าห่วงที่สุด เพราะปัจจุบัน SM ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หากเทียบกับอดีตที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเวลานี้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยวันนี้ หนี้เสียอาจจะดูดีขึ้น แต่ตัวชี้วัดสำคัญคือทิศทางหนี้เสียในระยะข้างหน้าด้วย หากบริหารจัดการหนี้ไม่ดีเพียงพออาจจะเกิดปัญหาในระยะยาวได้ โดยเฉพาะ หนี้สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ ที่เวลานี้ยังอยู่ระดับสูงต่อเนื่องกว่า 8 แสนล้านบาทเมื่อเทียบกับ 6 ไตรมาสที่ผ่านมา แม้ปัจจุบันจะมีมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน จากเหล่าธปท. โดยที่เอื้อให้แบงก์ปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ จากผลกระทบโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่วน สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ หรือหนี้ที่เริ่มค้างชำระ ตั้งแต่ 30วัน แต่ไม่เกิน 90 วัน หรือที่เรียกว่า ลูกหนี้ในกลุ่ม Stage2 แต่ยังไม่ตกชั้นเป็นหนี้เสีย

ขยายความ หนี้ค้างชำระแบ่งเป็นอะไรบ้าง

สำหรับหนี้ค้างชำระใน 6 แสนล้านบาท ที่ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน หากคิดเป็นจำนวนบัญชีอยู่ที่ 2.37 ล้านบัญชี หากนับเป็นจำนวนบัญชี จะทำการแยกออกได้ดังนี้

  • Gen Z ตั้งแต่อายุ 12-26 ปี ที่อยู่ในวัยศึกษา และเริ่มทำงาน กลุ่มที่มีบัญชีค้างชำระน้อยที่สุดอยู่ที่ 1.42 แสนบัญชี
  • Gen Y ตั้งแต่อายุ 22-40 ปี ช่วงหนุ่มสาวที่กำลังทำงาน กลุ่มที่มีบัญชีค้างชำระมากที่สุด 52% หรือ หากคิดเป็นจำนวนบัญชี เจนวายมีหนี้ค้างชำระสูงถึง 1.23 ล้านบัญชี ซึ่งคิดเป็นครึ่งๆของ บัญชีที่ค้างชำระมากที่สุด
  • Gen X ที่อยู่ในช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป ที่เป็นวัยที่กำลังสร้างครอบครัว กลุ่มนี้มีหนี้ค้างชำระถึง 7.58 แสนบัญชี
  • Baby Boomer ที่อายุตั้งแต่ 50ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีชีวิตการทำงาน ชีวิตครอบครัวที่มั่นคงแล้ว กลุ่มนี้ ค้างชำระอยู่ที่ 2.37 แสนล้านบัญชี

ดังนั้นเมื่อหากเทียบกับบัญชีที่ค้างชำระทั้งหมด 2.37 แสนบัญชี ดังนั้นหากนับเป็นยอดหนี้เสียคงค้าง จากยอดค้างชำระทั้งหมด 6 แสนล้านบาท มาจาก Gen Y 48% คิดเป็น 2.9 แสนล้านบาท Gen X ที่ 35% หรือ 2.1แสนล้านบาท Baby Boomer 14% หรือ 8.4 แสนล้านบาท

หนี้ค้างชำระอยู่ที่ไหน อยู่กับใครบ้าง?

หนี้ครัวเรือนไทยปี 66

จากบัญชี จากทั้งหมด 2.37 ล้านบัญชี เป็นลูกหนี้จาก ธนาคารพาณิชย์ 34% หรือราว 8 แสนบัญชี และอยู่กับแบงก์รัฐ 28% หรือ 6.6แสนบัญชี และอยู่กับธุรกิจเช่าซื้อรถ หรือ Leasing ถึง 21% 4.9 แสนบัญชีและหากนับเป็นยอดเงินค้างชำระ จากทั้งหมด 6 แสนล้านบาท มียอดค้างชำระอยู่กับแบงก์พาณิชย์ 43% หรือ 2.6 แสนล้านบาท แบงก์รัฐ 41% หรือ 2.5 แสนล้านบาท และ เช่าซื้อ 13% ที่ 7.8 หมื่นบัญชีและพบว่า หนี้ค้างชำระส่วนใหญ่ หากคิดเฉพาะ มูลค่าค้างชำระ ส่วนใหญ่เป็นหนี้ “หนี้รถ” มากที่สุด 32% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.9 แสนล้านบาท “หนี้บ้าน” 27% หรือ 1.6 แสนล้านบาท และ สินเชื่อส่วนบุคคล 26% ที่ 1.6 แสนล้านบาท

Gen Y- Gen X เป็นหนี้เสียมากที่สุด

สาเหตุสำคัญคือการขอสินเชื่อของคนไทยที่อยู่บนระบบของเครดิตบูโร พบว่า การขอสินเชื่อทั้งหมด มาจาก Gen Y 5.7 ล้านล้านบาท และพบว่า กลุ่มนี้เป็นหนี้เสียถึง 3.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 26% ของสินเชื่อรวมของ Gen Y ทั้งหมด ขณะที่ Gen X มียอดสินเชื่อคงค้างทั้งหมด 4.1 ล้านล้านบาท และเป็นหนี้เสียที่ 2.6 แสนล้านบาท หรือ 6.2% ของ Gen Y ทั้งหมด ซึ่งทั้งสองกลุ่มรวมกัน พบว่า มีหนี้เสียสูงถึง 6.1 แสนล้านล้านบาท หากเทียบกับ หนี้เสียคงค้างในระบบข้อมูลเครดิตบูโรที่ปัจจุบันอยู่ที่ 9.5 แสนล้านบาท ถัดมา Baby Boomer มีสินเชื่อรวมในระบบ อยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท และมียอดเป็นหนี้เสียอยู่ที่ 7.9 หมื่นล้านบาท หรือ 6% หากเทียบกับสินเชื่อคงค้างทั้งหมด และ Gen Z มียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท และมียอดค้างชำระที่ 1.9 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 9.3% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมดของกลุ่ม Gen Z และข้อมูลเครดิตบูโร ยังสะท้อนให้เห็นอีกว่า หากนับเฉพาะ คนอายุ 29 ปี พบว่า 100 คน จะมีคนที่เป็นหนี้เสีย 27 คน ที่มีหนี้เสียอย่างน้อย 1 บัญชี

การขอสินเชื่อของ สำหรับครัวเรือนไทย

หากดูจาก ฐานข้อมูลประชากรของไทย สิ้นปี 2564 พบว่าจากประชากรทั้งหมด มี Gen X อยู่ที่ 15.2ล้านคน และอยู่บนข้อมูลเครดิตบูโต 8.4 ล้านคน Gen Y ทั้งประเทศมีอยู่ 16.2ล้านคน อยู่บนระบบของเครดิตบูโร 11 ล้านคน Gen Z ทั้งประเทศ 11.4 ล้านคน อยู่บนข้อมูลเครดิตบูโร 1.2 ล้านคน และจากข้อมูลของเครดิตบูโร พบว่า คนอายุ 31 ปี เป็นช่วงที่มีจำนวนคนมีสินเชื่อรถยนต์มากที่สุด หรือ คิดเป็นจำนวนบัญชีถึง 198,830 บัญชี ขณะที่คนอายุ 32 ปี เป็นช่วงที่มีจำนวนขอขอสินเชื่อบุคคลมากที่สุด ถึง 470,490 บัญชี และคนอายุ 41 ปี เป็นช่วงที่มีจำนวนคนขอสินเชื่อบ้านมากที่สุด 108,056 บัญชี และคนอายุ 43ปี เป็นช่วงที่มีจำนวนคนที่มีบัตรเครดิตมากที่สุด 243,101 บัญชี และ สุดท้ายคือ คนอายุ 59ปี เป็นช่วงที่มีจำนวนคน มีสินเชื่อเพื่อการเกษตรมากที่สุด! ถึง 125,355 บัญชี

อนาคตอาจเป็นหนี้เสีย

หนี้ครัวเรือนไทยปี 66

เมื่อเร็วๆนี้ทาง สุรพล โอภาสเสถียร” ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ได้แสดงความเป็นห่วงจากสาเหตุที่ หนี้ที่เป็นห่วงมากที่สุด คือหนี้ที่ค้างชำระ ที่มีอยู่ในระบบข้อมูลของเครดิตบูโร 6 แสนล้านบาท และในนี้ เป็หนี้ รถมากที่สุด 1.9 แสนล้านบาท และหนี้บ้าน 1.6 แสนล้านบาท หนี้เหล่านี้ เป็นหนี้ที่ต้องรีบดำเนินการ เข้าสู่การแก้หนี้ และการรับความช่วยเหลือจากธนาคารต่อเนื่อง เพราะ หากดูพฤติกรรมการค้างชำระ พบว่า หากลูกหนี้ เริ่มมีค้างชำระสินเชื่อบ้าน แปลว่า ลูกหนี้สุดทางในการแก้ปัญหาหนี้สินแล้ว เพราะโดยปกติ หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระได้ สิ่งที่จะยอมให้เป็นหนี้เสียก่อน คือ สินเชื่อบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิต ถัดมาสินเชื่อรถ หากผ่อนไม่ได้ 4เดือนก็ปล่อยให้ยึด แต่บ้าน คือที่อยู่อาศัย ที่อาจลูกหนี้จะยอมสละเป็นสิ่งสุดท้าย สะท้อนว่า ลูกหนี้ไม่มีทางออกในการแก้หนี้แล้ว

นอกจากมาตรการแก้หนี้ด้วย 9 วิธีข้างต้น เพียงพอหรือไม่ ที่จะจัดการปัญหาเหล่านี้ หรือจำเป็นต้องมีมาตรการใหม่ออกมาเพิ่มเติม หรือการทำให้การแก้หนี้แต่ละกลุ่มเข้มข้นมากขึ้น เพราะหากดูการแก้ไขหนี้ที่ผ่านมา พบว่า หนี้เสียลดลงไม่ได้เร็วเหมือนที่คิด ดูจากหนี้ ในช่วงกลางปี 2565 ที่เคยขึ้นไประดับสูงสุดที่ 1.1ล้านล้านบาท และปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 9.5 แสนล้านบาท หายไปเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ที่ต้องใช้เวลาหลายไตรมาส กว่าจะลดลงได้ ดังนั้นภายใต้ หนี้เสียเก่า ที่มีอยู่แล้ว 9.5 แสนล้านบาท จะกดต่อไปให้อยู่ระดับเดิมได้หรือไม่ และก้อนใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีก 6 แสนล้านบาท ที่กำลังจะเป็นหนี้เสีย จะทำอย่างไร” และโดยปกติแล้ว หากดู หนี้ก้อนที่กำลังจะเสีย ในอดีต พบว่า มักจะไหลไปเป็นหนี้เสียที่ราว 20-30% หากเทียบกับหนี้ค้างชำระทั้งหมด แต่ปัจจุบัน แม้เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว แต่การตัวไม่ทั่วถึง และยังมีกลุ่มเปราะบางจำนวนมาก ดังนั้นโอกาสที่จะเห็น “หนี้ที่กำลังจะเสีย” ไหลมาเป็นหนี้เสียอาจมากกว่าคาด กรณีเลวร้าย อาจเห็นการตกชั้นไปเป็นหนี้เสียได้ถึง 50% หรือ 3แสนล้านบาท จากทั้งก้อนที่น่าห่วง 6แสนล้านบาท

ก่อนจากกันทางเว็บไซต์ moneydever.com ยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมายอย่างลืมเข้ามาอ่านกันนะ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า…

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *