เตรียมจ่ายเงินสมทบประกันสังคมเพิ่ม เป็น 1150 บาท

ข่าวร้ายสำหรับผู้จ่ายเงินสมทบ ม.33 เพราะอนาคตท่านจะต้อง เตรียมจ่ายเงินสมทบประกันสังคมเพิ่ม สูงสุดเป็น 1150 บาท โดยสำนักงานประกันสังคมคาดเริ่มใช้จริง 1 ม.ค. 2567 เพิ่มเป็นไม่เกิน 875 บาท ภายใน 7 ปี ไม่เกิน 1,150 บาทโดยใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตนมาตรา 33 อัตราใหม่
เตรียมจ่ายเงินสมทบประกันสังคมเพิ่ม สูงสุดเป็น 1,150 บาท
สำหรับความคิดเห็นการปรับฐานค่าจ้างในสูตรคำนวณเงินสมทบ หลังผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว คาดเริ่มใช้จริง 1 ม.ค. 2567 เพิ่มเป็นไม่เกิน 875 บาท ภายใน 7 ปี ไม่เกิน 1,150 บาท วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กำลังพิจารณาการกำหนดค่าจ้างขั้นสูง ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตนมาตรา 33 อัตราใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกองทุนในการรองรับรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเป็นไปตามมาตรฐานเพดานค่าจ้างขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) โดยขั้นตอนการปรับค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการประกันสังคมเมื่อกลางปี 2565 จากนั้นกระทรวงแรงงานได้ยกร่างกฎกระทรวงฯ และนำร่างไปเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
ครั้งที่ 1 ผ่านทางระบบกลางทางกฎหมาย (LAW.co.th) เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 โดย ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 มีผู้ร่วมเสนอความเห็นแล้วมากกว่า 2,414 คน สำหรับจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคม ข้อมูลอัพเดท ณ เดือนมกราคม 2566 คือ มีจำนวน 11,618,874 คน
เพราะอะไรทำไมต้องจ่ายเงินสมทบมากขึ้น
สำหรับกฎกระทรวงฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ได้กำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตนมาตรา 33 ไว้ ไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2538 จนถึงปัจจุบัน โดยเหตุผลสำคัญของร่างกฎหมายหรือกฎหมายใหม่ที่ สปส. นำมารับฟังความคิดเห็น ประกอบด้วย
- เพื่อสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและเป็นไปตามมาตรฐานเพดานค่าจ้างขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
- เพื่อความเพียงพอของสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้
- เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกองทุนรองรับรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น
- เพื่อการกระจายรายได้จากผู้มีรายได้มากไปสู่ผู้มีรายได้น้อยภายในระบบประกันสังคม
- เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบประกันสังคม
อัตราใหม่เท่าไหร่ เริ่มเมื่อไหร่?
โดยร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. …. จะมีการปรับฐานค่าจ้างขั้นสูงจาก 15,000 บาท อย่างค่อยเป็นค่อยไป 3 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 จำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 17,500 บาท จากเดิมฝั่งลูกจ้างผู้ประกันตนจ่ายสมทบ 5% ของค่าจ้าง แต่สูงสุดไม่เกิน 750 บาท (คำนวนจากฐานค่าจ้าง 15,000 บาท) จะเพิ่มเป็นจ่ายเงิน 875 บาท (คำนวนจากฐานค่าจ้าง 17,500 บาท)
- ระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2570 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572 จำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 20,000 บาท จากเดิมฝั่งลูกจ้างผู้ประกันตนจ่ายสมทบ 5% ของค่าจ้าง แต่สูงสุดไม่เกิน 750 บาท (คำนวนจากฐานค่าจ้าง 15,000 บาท) จะเพิ่มเป็นจ่ายเงิน 1,000 บาท (คำนวนจากฐานค่าจ้าง 20,000 บาท)
- ระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2573 เป็นต้นไป จำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 23,000 บาท จากเดิมฝั่งลูกจ้างผู้ประกันตนจ่ายสมทบ 5% ของค่าจ้าง แต่สูงสุดไม่เกิน 750 บาท (คำนวนจากฐานค่าจ้าง 15,000 บาท) จะเพิ่มเป็นจ่ายเงิน 1,150 บาท (คำนวนจากฐานค่าจ้าง 23,000 บาท)
ข้อดีจากการปรับฐาน
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนสำหรับผู้ประกันตนคือทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้นเนื่องจากฐานที่ใช้ในการคำนวณเพื่อรับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวจะคำนวณจากค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุนประกันสังคม ดังนี้
- เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
- เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ 70% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
- เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
- เงินสงเคราะห์กรณีตาย 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
- เงินทดแทนการขาดรายได้ในกรณีว่างงาน 50% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
- เงินบำนาญชราภาพ ไม่ต่ำกว่า 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่นำส่งเข้ากองทุน โดยผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบ 15 ปี จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้าง ส่วนผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับบำนาญเพิ่มอีก 1.5% ทุกการส่งเงินสมทบครบ 12 เดือน
สำหรับเงินบำเหน็จชราภาพจะได้รับเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากมีการนำส่งเงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพเพิ่มขึ้นจากการปรับฐานที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบ ตัวอย่างผลต่อผู้ประกันตน ดังนี้
- ในปี 2567 ผู้ประกันตนที่ค่าจ้างมากกว่า 17,500 บาทต่อเดือน จะส่งเงินสมทบเดือนละ 875 บาท (เดิม 750 บาท) และจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น เช่น เงินทดแทนขาดรายได้กรณีว่างงานเพิ่มเป็นเดือนละ 8,750 บาท (เดิม 7,500 บาท) เป็นต้น
ก่อนจากกันทางเว็บไซต์ moneydever.com ยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมายอย่างลืมเข้ามาอ่านกันนะ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า…