4 แนวทางการลงทุนโฆษณาดิจิทัลในปี 2023 อย่างไรถึงประสบความสำเร็จ

แม้ว่าเวลานี้ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกจะถดถอยแต่ 89% ของ CMO และผู้นำด้านการตลาดกล่าวว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนด้านการตลาดในปีหน้า โดย 44% คาดหวังว่าการเพิ่มขึ้นเหล่านั้นจะเพียงพอ แต่การลงทุนอย่างเดียวไม่เพียงพอ ความพยายามใน การโฆษณาดิจิทัลในปัจจุบันต้องใช้พลัง(เงิน)มากขึ้น ดังนั้นวันนี้มาดูกันว่าพลังที่ช่วยให้ ROI ดีขึ้นสำหรับแบรนด์ต่างๆ ในธุรกิจประเภทต่างๆ ได้อย่างไร

4 แนวทางการลงทุนโฆษณาดิจิทัลในปี 2023 อย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

ลดต้นทุนแคมเปญและเพิ่มการเข้าถึง

ด้วยการตรวจสอบโปรไฟล์ผู้ชมเชิงลึกเพื่อให้ทราบข้อมูลความสนใจของกลุ่มลูกค้า จึงมีโอกาสที่จะลดต้นทุนในขณะที่เพิ่มการเข้าถึง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

• บริษัทที่ให้บริการทางการเงินระดับโลกแห่งหนึ่งกำลังมองหาผู้ที่สนใจขอสินเชื่อรถยนต์ การวิจัยของบริษัทพบว่ากลุ่มเป้าหมายมักจะเป็นผู้ที่กำลังจะซื้อรถยนต์คันแรก ดังนั้นจึงสร้างแคมเปญเพื่อดึงดูดกลุ่มคนเหล่านี้ จากนั้นจึงทำงานร่วมกับผู้ให้บริการข้อมูลเพื่อระบุโปรไฟล์ผู้ชมที่ประกอบด้วยผู้ที่กำลังจะซื้อรถยนต์คันแรก และผู้ซื้อรถยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ เมื่อบริษัทเปิดใช้งานแคมเปญและเรียกใช้แคมเปญทั่วทั้งเว็บแบบเปิดผ่าน Google DV360 (Display & Video 360) ก็สามารถลดต้นทุนต่อการดูหน้า Landing Page ได้ 78% และเพิ่มอัตราการคลิกผ่านโดยเฉลี่ยเป็นสองเท่า

ลดต้นทุนต่อโอกาสในการขาย

การใช้ประโยชน์จากข้อมูลของบุคคลที่สาม(หาพันธมิตรด้านข้อมูล)สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพจะเห็นได้ชัดโดยเฉพาะเมื่อใช้ในความสามารถแบบข้ามช่องทาง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

• ธนาคารแห่งหนึ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับบุคคลที่มีรายได้สูง แต่ประสบปัญหาในการดึงดูดผู้ชมเป้าหมายไปยังหน้าส่งเสริมการขายของเว็บไซต์ ดังนั้นจึงหันไปหาพันธมิตรด้านข้อมูลเพื่อสร้างกลุ่มผู้ชมที่กำหนดเองซึ่งสามารถช่วยกำหนดเป้าหมายและรับลีดคุณภาพสูงผ่านแคมเปญโฆษณาแบบเป็น อัตโนมัติหรือเรียลไทม์ เพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ใหม่ ธนาคารได้เปิดใช้งานโปรไฟล์ใหม่สำหรับแคมเปญโฆษณาการสร้างลูกค้าเป้าหมายผ่านช่องทางดิสเพลย์แบบเป็น อัตโนมัติหรือเรียลไทม์ หรือผ่านช่องทางโซเชียลในทุกแพลตฟอร์ม โปรไฟล์ผู้ชมที่กำหนดเองช่วยลดต้นทุนต่อโอกาสในการขายได้ถึง 11% โดยที่ Google สามารถลดค่าใช้จ่ายต่อโอกาสในการขายได้ถึง 89%

เพิ่มประสิทธิภาพ

บ่อยครั้งที่ เหล่านักการตลาดพบว่ากลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายที่ใช้ได้ผล ถึงแม้อาจไม่สามารถส่งมอบ ROI ที่จำเป็นเมื่อเวลาผ่านไป แต่เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นข้อมูลเชิงลึกของบุคคลที่สามจะทำให้แคมเปญกลับมาเป็นปกติได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

• ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเคยใช้กลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายเดียวกันมาระยะหนึ่งแล้ว และจำเป็นต้องปรับปรุงแคมเปญและปรับปรุงประสิทธิภาพ แบรนด์ทำงานร่วมกับเอเจนซีและพาร์ทเนอร์ด้านข้อมูลเพื่อเลือกลักษณะกลุ่มเป้าหมายและสร้างกลุ่มเฉพาะที่ดึงดูดลูกค้าที่สนใจในการทำอาหาร รวมถึงผู้ที่ต้องการซื้อเครื่องล้างจาน เมื่อเทียบกับแคมเปญอื่นๆ แคมเปญที่ใช้กลุ่มที่กำหนดเองมีอัตราการคลิกผ่านเพิ่มขึ้น 33%, CPM ลดลง 30% และ CPC ลดลง 35%

เร่งประสิทธิภาพ b-to-b

หรือ Business-to-Business คือการทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ ข้อมูลผู้ชมที่คาดคะเนได้เองนั้นมีค่ามากเมื่อพูดถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ b-to-b และ ROI ดังตัวอย่างต่อไปนี้

• แบรนด์เทคโนโลยีข้ามชาติต้องการหาวิธีใหม่ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้านไอทีและนักพัฒนา ในขณะที่เพิ่มขนาดที่ CPM ที่มีประสิทธิภาพ บริษัททำงานร่วมกับเอเจนซีและผู้ให้บริการข้อมูลเพื่อเปิดใช้งานโซลูชันการคาดการณ์กลุ่มเป้าหมายแบบ b-to-b โดยอิงตามสัญญาณบริบทที่เป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัว ด้วยการผสมผสานสเกลที่สูงเข้ากับประสิทธิภาพที่แข็งแกร่ง โซลูชันดังกล่าวทำให้ต้นทุนต่อประสิทธิภาพการดู (CPEV) อยู่ที่ 11,805 บาท เทียบกับ CPEV มาตรฐานของบริษัทที่ 16,443 บาท เนื่องจากประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในไตรมาสที่ 1 แบรนด์เทคโนโลยีจึงขยายแคมเปญการกำหนดเป้าหมายไปยังไตรมาสที่ 2 โซลูชันผู้ชมเชิงคาดการณ์ช่วยปรับปรุง CPEV ของบริษัทในทุกแคมเปญ (ลดลง 25%) และมีประสิทธิภาพดีกว่าผู้ชมตามบริบท (8,723 บาท เทียบกับ 11,424 บาท)

สุดท้ายนี้การโฆษณาดิจิทัลมีศักยภาพมหาศาลในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่สูงและวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม มันเป็นพื้นที่ที่แออัดมาก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในปี 2023 การลงทุนเพียงอย่างเดียวในการโฆษณาดิจิทัลจะไม่เพียงพอ เพื่อทำการตลาดอย่างแท้จริง เหล่าทีมมาร์เก็ตติ้งจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณสำหรับการลงทุนข้อมูลพร้อมกันที่สามารถช่วยให้พวกเขามั่นใจได้ว่าทุกบาทที่ใช้จ่ายจะสร้างความคุ้มค่าได้มากที่สุด